รถยนต์ไฟฟ้า Xiaomi SU7 Max กลายเป็นกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดียของจีน นายหลี่ ชายจากมณฑลเจ้อเจียง กล่าวว่าระบบตรวจจับความเมื่อยล้าด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของรถยนต์เตือนเขาให้ “มีสมาธิกับการขับรถ” มากกว่า 20 ครั้ง ตลอดการเดินทางระยะสั้น สาเหตุคือดวงตาที่เล็กถูกระบุอย่างผิดพลาดเป็นสัญญาณว่าเขากำลังหลับในขณะขับรถ
ขณะที่นายหลี่กำลังขับรถ Xiaomi SU7 Max รุ่นใหม่ล่าสุดของน้องสาว ก็มีสัญญาณเตือนซ้ำๆ เกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะตื่นเต็มที่และมองดูถนน แต่รถก็ยังคงส่งคำเตือนทั้งด้วยเสียงและบนหน้าจอ เช่น “โปรดมีสมาธิในการขับขี่” และ “ขับรถอย่างปลอดภัย” ระบบของรถเข้าใจผิดว่ารูปร่างตาปกติของเขาเป็นสัญญาณของอาการง่วงนอนหรือหลับ
“เมื่อลืมตาขึ้นเต็มๆ เสียงปลุกก็หยุดลง” นายหลี่กล่าว “แต่เมื่อผมปล่อยให้ตากลับคืนสู่สภาพปกติ เสียงปลุกก็ดังขึ้นอีกครั้ง ตาของผมเล็กมากจนรถคิดว่าผมกำลังจะหลับ”
ระบบตรวจจับความเมื่อยล้าใน Xiaomi SU7 Max ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่ปลอดภัยโดยตรวจสอบสัญญาณของการนอนหลับหรือสมาธิสั้น โดยใช้กล้องที่ติดตั้งบนพวงมาลัยเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของดวงตา ตำแหน่งศีรษะ และการแสดงออกทางสีหน้า
หากตรวจพบสิ่งผิดปกติใดๆ ที่บ่งบอกว่าคนขับรู้สึกเหนื่อยล้า เช่น หลับตา หาวบ่อย หรือหันศีรษะ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงและแสดงข้อความบนหน้าจอ หากคนขับเพิกเฉยต่อคำเตือน รถอาจชะลอความเร็วและหยุดโดยอัตโนมัติ
หลังจากคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกแชร์ออกไป Xiaomi ยืนยันว่าฟีเจอร์ดังกล่าวได้รับการติดตั้งในรถยนต์รุ่น SU7 Max ทุกคัน โฆษกของบริษัทกล่าวว่าระบบดังกล่าวช่วยป้องกันอุบัติเหตุและเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของบริษัทในการปรับปรุงความปลอดภัยโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังยอมรับด้วยว่าระบบดังกล่าวอาจมีความละเอียดอ่อนเกินไปสำหรับผู้ใช้บางราย
ฝ่ายบริการลูกค้าของ Xiaomi แจ้งกับสื่อท้องถิ่นว่าสามารถปิดฟีเจอร์ดังกล่าวได้ด้วยตนเองผ่านการตั้งค่าของรถ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่แนะนำให้ปิดการใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าว เนื่องจากอาจส่งผลต่อความปลอดภัยโดยรวมเมื่อต้องขับรถทางไกลหรือในตอนดึก
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากในประเทศจีนให้การสนับสนุนนายหลี่และแบ่งปันเรื่องราวของตนเอง ผู้ขับขี่บางรายกล่าวว่าพวกเขาประสบปัญหาดังกล่าวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน เช่น Lynk & Co และ Deepal ผู้ใช้ Xiaomi SU7 อีกไม่กี่รายกล่าวว่าพวกเขายังร้องเรียนต่อบริษัทเกี่ยวกับการแจ้งเตือนความเมื่อยล้าที่เป็นเท็จซึ่งเกิดจากรูปร่างของดวงตาอีกด้วย
ผู้ใช้บางรายแสดงความกังวลว่า Xiaomi ได้ทดสอบระบบกับใบหน้าและดวงตาประเภทต่างๆ อย่างเหมาะสมหรือไม่ บางรายก็ถามว่าเหตุใดระบบจึงไม่ใช้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น พฤติกรรมการบังคับเลี้ยวหรือการเคลื่อนไหวของศีรษะ เพื่อตัดสินใจที่ดีขึ้น